คำถามที่พบบ่อย
ABA ย่อมาจากคำว่า Applied Behavior Analysis ภาษาไทย เรียกว่า เทคนิคการปรับพฤติกรรม โดยเป็นหลักการและวิธีการที่เป็นระบบ ใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กปกติ หรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ พื่อเพิ่มทักษะที่เหมาะสม และลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ด้วยการปรับสิ่งกระตุ้นที่เกิดก่อนหรือเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังจากมีทักษะหรือพฤติกรรมนั้นๆ ผ่านการสอนในลักษณะรูปแบบที่เรียกว่า The Three Term Contingency : ABC อันประกอบด้วย (ตัวกระตุ้น (Antecedent) พฤติกรรมที่เด็กแสดง (Behavior)-> ผลกระทบจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้น (Consequence) โดยการใช้ ABA ในการฝึกสอนเด็กที่มีรูปแบบตอนเริ่มแรกของบทเรียนเป็นการสอนที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของแต่ละกิจกรรมอย่างชัดเจน ( DTT- Discreet Trial Training ) เป็นการฝึกที่มีบทเรียนชัดเจนว่าในช่วงเวลานี้ต้องการให้เด็กพัฒนาทักษะเรื่องอะไร ) แล้วจึงค่อยๆ ปรับให้สามารถสอนในสภาวะแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริง ( NET-(Natural Environment Training) เด็กจะสามารถได้รับการปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมเพื่อลดทอนปัญหา หรืออุปสรรคในการดำเนินชีวิตในสังคม
ABA สามารถใช้ในสอนเด็กในด้านต่างๆ ต่อไปนี้
1) สอนทักษะใหม่ (เช่น ภาษา, ทักษะทางด้านสังคม, วิชาการ, ทักษะการใช้ชีวิต, การเล่น/งานอดิเรก)
2) สอนให้เด็กเอาทักษะที่เด็กได้เรียนรู้ ไปใช้กับบุคคลที่หลากหลาย เพื่อให้มั่นใจว่าทักษะนั้นๆที่เด็กได้เรียนรู้แล้ว สามารถนำไปใช้ได้จริง (เช่น ใช้กับพ่อแม่, พี่เลี้ยง, เพื่อนที่โรงเรียน, ญาติ)
3) สอนทักษะในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย (เช่น การออกไปนอกสถานที่ ไปบ้านญาติ และอื่นๆ)
4) ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ( เช่น การกระตุ้นตัวเอง, การทำร้ายตัวเอง เป็นต้น)
ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ เราจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า “วิธีการสอน” กับ “เรื่องที่สอน” มีความแตกต่างกัน
ABA คือ “วิธีการสอน” หรือ “สอนอย่างไร” ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้กันในวงกว้าง โดยมีรายละเอียดในการนำเอาหลักทฤษฏีไปประยุกต์ใช้
แต่สำหรับ “เรื่องที่สอน” หรือ “สอนอะไร” เป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ “วิธีการสอน”
ภายใต้กรอบความเข้าใจนี้ จะเห็นว่า ABA ที่มีอยู่เดิม กับของ CARD/CARE นั้น มีการใช้หลักการ ABA เหมือนกัน นั่นคือการใช้วิธีการสอนแบบเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันก็แตกต่างกันที่บทเรียนหรือเนื้อหาที่สอน สำหรับบทเรียนที่ CARD ทำการสอนนั้น เป็นบทเรียนที่พัฒนาขึ้นโดย Dr. Doreen Granpeesheh (ผู้ก่อตั้ง CARD) อันมีคุณลักษณะดังนี้
· คลอบคลุมทักษะ(skill) ที่เด็กต้องการทั้ง 8 ด้าน คือ ภาษา, การจัดการตนเอง, กล้ามเนื้อ, ทักษะสังคม, ทักษะการรับรู้, ทักษะทางวิชาการ, ทักษะการเล่น, ทักษะการปรับตัว
· ทักษะทั้ง 8 ด้านนั้นมีการแตกออกเป็นขั้นตอนที่ละเอียดเพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็กที่อยู่ในภาวะออทิซึม
· มีกระบวนการติดตามวัดผลความก้าวหน้า ว่าเด็กมีความเข้าใจในบทเรียนหรือทักษะ (skill) ที่ได้เรียนไปและสามารถนำไปใช้ได้จริง
อย่างที่กล่าวมาว่า ABA (สอนอย่างไร) และบทเรียนที่สอน (สอนอะไร) เป็นคนละประเด็นกัน และในกรณีนี้ต้องดูว่าเรา “สอนอะไร”ให้กับเด็ก
เด็กที่ดูเหมือนหุ่นยนต์ส่วนหนึ่งเพราะขาดทักษะสังคม (social skill) และ/หรือทักษะการปรับตัว (adaptive skill) จึงเป็นไปได้ว่าบทเรียนที่เด็กเรียนมาอาจเป็นบทเรียนที่ไม่สัมพันธ์และไม่ได้พัฒนาทักษะทั้งสองอย่างหรือบทเรียนไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้กับเด็ก
อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงการพัฒนาทักษะต่างๆ ความเข้าใจของคนทั่วไปมักจะคิดว่าทักษะทางสังคม (social
skill) และ ทักษะการปรับตัว (adaptive
skill) เป็นสิ่งที่ “สอนไม่ได้” ต่างกับทักษะด้านอื่นๆ เช่น ทักษะด้านวิชาการ(Academic skill) หรือ ทักษะทางด้านกล้ามเนื้อ (motor
skill) ซึ่่งเป็นสิ่งที่ “สอนได้” แต่ที่นี่เรามั่นใจว่าทักษะทั้งสอนด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม (social skill) และ/หรือด้านการปรับตัว (adaptive
skill) นั้นสามารถ “สอนได้” และเรามีบทเรียนแยกย่อยมากมาย
ที่จะสอนทักษะดังกล่าว
คำถามนี้มีลักษณะคล้ายคำถามข้อ 3 สำหรับการให้เด็กนั่งร้อยลูกปัด
หรือดูบัตรคำ ถือเป็นหนึ่งในบทเรียนที่สอน (สอนอะไร) ของ ABA แต่ในขณะที่ ABA คือวิธีการหรือหลักการสอน (สอนอย่างไร) ดังนั้นมองได้ว่าเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่ถูกหลัก
สำหรับการฝึกสอนด้วยวิธี ABA จะไม่ใช้การจำกัดขอบเขตหรือบังคับเด็ก ในทางตรงกันข้าม หลักการ ABA จะใช้กระบวนการเสริมแรงจูงใจ (Reinforcement) มาโน้มน้าวให้เด็กยอมฝึกหรือเรียน สำหรับนั กพัฒนาทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจะสามารถทำให้กระบวนการนี้มีความสนุกสนานและเป็นธรรมชาติ
อย่างไรก็ตามในกรณีที่เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และจำเป็นต้องใช้วิธีการ
ABA ในการปรับพฤติกรรม
การที่เด็กจะเสียใจหรือร้องไห้ก็เป็นการแสดงความต่อต้าน (ส่วนใหญ่จะเป็นในช่วงเริ่มต้นฝึกใหม่
ๆ) และเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับพฤติกรรม ซึ่งโดยมากใช้เวลาเพียงไม่นานเด็กจะเรียนรู้และมีความเข้าใจ
การแสดงอาการร้องไห้หรือเสียใจก็จะหายไปเอง
บทเรียนการสอนนั้นมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ
- Discrete Trial Training (DTT) คือ การสอนหรือพัฒนาทักษะแบบตัวต่อตัวโดยสอนอย่างมีการวางแผน, การควบคุม, และระบบที่ชัดเจน ในการใช้ DTT มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มทักษะและจะแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย แยกสอนเป็นขั้นตอนแบบละเอียดทีละขั้นและจะสอนแบบซ้ำๆ โดยแต่ละขั้นจะมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดที่สามารถแบ่งได้อย่างชัดเจน
- Natural Environment Training (NET) คือ การพัฒนาทักษะที่มีอยู่และปรับใช้ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติให้เหมาะสมตามสถานการณ์ โดยยังคงไว้ซึ่งระบบของการเรียนรู้ผ่านการให้รางวัลที่เป็นระบบและยังคงอิงแบบแผนของการวิเคราะห์พฤติกรรมแบบประยุกต์
ในช่วงเริ่มต้นเนื่องจากคลังทักษะของเด็กยังมีน้อยและไม่สมบูรณ์ บทเรียนจะเป็นแบบ DTT เพื่อเด็กจะได้รับทักษะต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป การใช้บทเรียนแบบ NET จะมีเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ บทเรียนแบบ DTT จะลดลงเนื่องจากจะเป็นการนำทักษะที่เด็กๆ ได้เรียนไปเข้ามาสอนในสภาวะแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ (เราเรียกว่าการ ปรับใช้ทั่วไป หรือ Generalize) แต่ในที่สุดจะคงเหลือแต่บทเรียน NET เท่านั้น
